เรื่องที่เราจะเล่าวันนี้ไม่เกี่ยวกับคณิตศาสตร์เท่าไหร่ แต่เกี่ยวกับนักปรัชญาครับ อ่านไม่ผิดครับมันอ่านว่า1. ไม่เกี่ยว2. นักปรัชญาแต่นักปรัชญาที่ว่า ดันมีชื่อว่า โสเครติสเฮียโสเครติสเป็นใคร มาจากไหน สำคัญยังไง อยากรู้ปะ ถ้าอยากรู้ เราไม่เล่าอย่าปาขวดใส่ผมครับ (ไอ้คนลงสรรพนามครับๆคนเดิมมันมาอีกแล้ว ฮ่าๆ ผู้หญิงครับผู้หญิง บอกตั้งแต่ตอนนี้คนอ่านจะได้ไม่งง ฮ่าๆ)ก็ขึ้นหัวข้อแล้วอ่ะว่าจะเล่า ตัวกรองทั้งสาม กับความปรีดาตัวกรองทั้งสามคืออะไร ลองอ่านนี่ครับ (บางส่วนเป็นการใส่สีตีไข่ของผมกรุณาอย่าสนใจและชำเล็กน้อยแต่พองามนะครับ)ในสมัยกรีกโบราณ, Socrates(โสเครติสนักปรัชญากรีก) ได้รับยกย่องให้เป็นมหาปราชญ์ และได้รับการยกย่องสรรเสริญเป็นอย่างสูง
วันหนึ่ง มีคนรู้จักบังเอิญพบกับนักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ และพูดขึ้นว่า
"คุณรู้อะไรมั้ย? ผมได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนของคุณมาเรื่องนึง"
อะหึย จะนินทาชาวบ้านให้เพื่อนเขาฟังเหรอคุณ
"ช้าก่อน..." โสเครติสปราม "ก่อนที่ท่านจะบอกข้า ข้าอยากที่จะให้ท่านผ่านการทดสอบสักเล็กน้อย ข้าจะเรียกมันว่า บททดสอบกลั่นกรองสามชั้น"
"กลั่นกรองสามชั้น?"
ฤๅจะเป็นเครื่องกรองน้ำรุ่นใหม่ เฮีนโสเครติสเป็นตัวแทนขายตรงรึนี่
"ถูกต้องแล้ว"
โสเครติสกล่าวต่อไป อย่าสุขุมและไม่ยี่หระต่อคำบรรยาย
"ก่อนที่ท่านจะเล่าให้ข้าฟังเกี่ยวกับเรื่องของเพื่อนของข้า มันอาจจะเป็นการดี ที่จะใช้เวลาสักเล็กน้อย และการกลั่นกรองเรื่องที่ท่านจะพูด และนั่นคือสาเหตุว่าทำไมข้าจึงเรียกมันว่า บททดสอบตัวกลั่นกรองสามชั้น ตัวกลั่นกรองแรก คือ "ความจริง" "ท่านแน่ใจจริงๆ หรือว่าสิ่งที่ท่านกำลังจะบอกข้านั้นเป็นเรื่องจริง?"
"เปล่าหรอก..." ชายผู้นั้นตอบ "อันที่จริงข้าก็แค่ได้ยินเรื่องนี้มาเท่านั้นเอง แล้วก็..."
แปลว่าตัวแกเองก็ไม่แน่ใจว่าจริงใช่มะ?
"เอาเถอะ เอาเถอะ ไม่เป็นไร" โสเครติสกล่าว "ถ้าเช่นนั้นท่านก็ไม่รู้ว่าเรื่องที่ท่านรู้มาจริง หรือ เท็จ คราวนี้ มาลองทดสอบตัวกลั่นกรองตัวที่สองกันดู ตัวกลั่นกรองที่สอง คือ "ความดี" "เรื่องที่ท่านกำลังจะบอกข้าเกี่ยวกับเพื่อนของท่าน เป็นเรื่องดี หรือไม่?"
"ไม่ เป็นเรื่องตรงกันข้าม..."
"ถ้าเช่นนั้น" โสเครติสกล่าวต่อ "ท่านต้องการบอกข้าเกี่ยวกับเรื่องไม่ดีของเขา แต่ท่านไม่แน่ใจว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่... ไม่เป็นไร ยังไงเสียท่านอาจจะผ่านการทดสอบนี้ก็ได้ เพราะ ยังเหลือตัวกลั่นกรองอีกหนึ่ง : ตัวกลั่นกรองสุดท้ายนี้คือ "ความมีประโยชน์" "ท่านคิดว่าเรื่องที่ท่านกำลังจะบอกข้าเกี่ยวกับเพื่อนของข้านั้น จะเป็นประโยชน์อะไรกับข้าหรือไม่?"
คราวนี้คนจะเล่าเรื่องคงหน้าซีดเป็นไก่ต้มตรุษจีนแล้วครับ เพราะเขาตอบเฮียโสเครติสว่า
"ไม่รู้สิท่าน...คงจะไม่"
"อื่มมม" โสเครติสสรุป "ถ้าเรื่องที่ท่านจะบอกข้านั้น ไม่ใช่เรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องดี และ ไม่มีประโยชน์ เหตุใดท่านจึงอยากบอกข้าเล่า?"
และนี่เป็นสาเหตุที่ทำให้โสเครติสเป็นมหาปราชญ์ และได้รับการยกย่องเป็นอย่างสูง ใช้ "ตัวกลั่นกรองทั้งสาม" ในแต่ละครั้ง ที่ได้ยินเรื่องที่ไม่แน่นอนเกี่ยวกับเพื่อนผู้ใกล้ชิดและคนที่เรารัก และสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน..
น่าคิดนนะครับ อย่างที่ว่า ถ้าผมเชื่อเฮียโสเครติส ผมคงไม่สามารถพูดอะไรได้เลยในชีวิตประจำวัน ฮ่าๆ เพราะผมมักจะพูดสิ่งที่ไม่ผ่านตัวกรองสุดท้าย อิอิ "ความมีประโยชน์" น่ะสิครับ
ที่มา
http://my.dek-d.com/angel-dimond/diary/?id=278503แล้วความปรีดาคืออะไร?
ลองอ่านนี่ครับ อันนี้ผมไม่ได้ใส่สีตีไข่ สบายใจได้
สองพันกว่าปีก่อน ปราชญ์เฒ่าผู้มีชื่อเสียงยืนยาวมาถึงทุกวันนี้ก็ถูกตั้งคำถามจากศิษย์หนุ่ม
"ท่านโสเครติส สิ่งใดคือความต้องการในชีวิตของข้าพเจ้ากันแน่" นักเรียนผู้มาจากตระกูลอันมั่งคั่งถามปราชญ์แห่งกรุงเอเธนส์ "เงินทอง ชื่อเสียง หรือภรรยาผู้เลอโฉม"
และไม่ว่าโสเครติสจะอธิบายว่า แต่ละสิ่งที่พูดมานั้นย่อมมีความหมายต่อชีวิตไม่เหมือนกัน และไม่เท่ากัน มันขึ้นอยู่กับห้วงเวลา ศิษย์ผู้สงสัยในชีวิตผู้นั้นก็ยังคงพะเน้าพะนึงโสเครติสเพื่อหาคำตอบให้ได้ดั่งใจตัวเอง
เมื่อทนความรบเร้าไม่ไหว โสเครติสจึงตัดสินใจจูงมือศิษย์หนุ่มไปยังริมแม่น้ำ
"ท่านจะพาข้าฯ ไปแห่งใด" ศิษย์ถามขึ้นด้วยความสนเท่ห์
"เจ้าอยากรู้มิใช่หรือว่า สิ่งใดคือปีติแห่งชีวิตเจ้า" โสเครติสพูดพลางดึงมือลูกศิษย์ลงไปในแม่น้ำ
"ที่นี่มีคำตอบหรือ" ศิษย์หนุ่มถามเมื่อทั้งคู่เดินลุยน้ำมาจนถึงระดับเอว
ไม่ทันขาดคำ โสเครติสก็ใช้มือทั้งสองข้างผลักลูกศิษย์ขี้สงสัยจมลงไปในน้ำผลักไม่ผลักเปล่า หนำซ้ำยังใช้มือกดหัวให้จมน้ำอยู่อย่างนั้น ศิษย์หนุ่มถูกกดน้ำก็พยายามดิ้นทุรนทุราย โสเครติสเห็นลูกศิษย์ดิ้นก็ไม่ยอมปล่อย กลับออกแรงกดมากขึ้น อ่านมาถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านคงเริ่มสงสัยแล้วใช่ไหมคัรบว่า โสเครติสเป็นบ้าไปหรือเปล่า
ครั้นพอคะเนได้ว่าลูกศิษย์ตัวเองเริ่มจะหมดลมหายใจ โสเครติสก็ปล่อยมือ
ทันทีที่ทะลึ่งพรวดขึ้นมาหายใจได้ ศิษย์จึงรีบต่อว่าต่อขานโสเครติสอย่างหนัก "ท่านอาจารย์จะสังหารข้าฯ หรืออย่างไร"
"ตอนที่ข้าเอามือกดหัวท่านไว้ ท่านหายใจออกไหม" โสเครติสถามหน้าตาเฉย
ลูกศิษย์รีบตอบ "ท่านวิกลจริตหรือเปล่า ท่านโสเครติส ใครจะไปหายใจออกเล่า"
โสเครติสรุกต่อ "แล้วตอนที่ท่านกำลังจะหมดลม ท่านต้องการสิ่งใดมากที่สุดในชีวิต" คำถามนี้ไม่ว่าใครก็ตอบได้ ว่าแล้วโสเครติสก็ตอบเอง "อากาศใช่ไหม"
"ตอนนี้ท่านได้มันแล้วนี่ ท่านดีใจไหมได้อากาศหายใจ แล้วทีนี้ท่านรู้หรือยังว่าชีวิตต้องการอะไร"
ผ่านมาอีกว่าพันปี
ปราชญ์อีคนหนึ่งชื่อ นัสรูดิน ก็ได้ทำอะไรแปลกๆ เพื่อตอบคำถามของผู้ต้องการพบกับ ความปรีดาแห่งชีวิต
นัสรูดินเป็นปราชญ์ที่บางคนให้คำจำกัดความที่น่างุงงงว่า 'คนโง่ที่ฉลาดที่สุด' ด้วยเป็นคนที่มีวิธีคิด วิธีพูด ที่ผิดแผกจากผู้คนทั่วไป จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ความจริงว่าเขาเป็นคนชาติใดกันแน่ เพราะชาติต่างๆ ก็กล่าวอ้างว่านัสรูดินเป็นคนชาติตน ทั้งฝรั่งเศส กรีก อาหรับ เปอร์เซีย ตุรกี รัสเซีย ฯลฯ
เรื่องเล่าของนัสรูดิน มักเป็นเรื่องเล่าที่เล่าต่อกันมาปากต่อปาก รวมทั้งเรื่องที่ผมกำลังจะเล่าให้ฟังเรื่องนี้ด้วย
วันหนึ่งนัสรูดินเดินทางมาพบชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ที่ทางเท้า มือข้างหนึ่งหยิบทรายขึ้นมาโปรยเล่นอย่างไร้จุดหมาย
"เธอเป็นอะไรหรือเปล่า" นัสรูดินถาม "ดูเธอหดหู่มาก เกิดอะไรขึ้นกับเธอหรือ"
"เปล่าเลย ชีวิตข้าฯ ปรกติดี" ชายหนุ่มตอบ"ปรกติดีเกินไปด้วยซ้ำ ข้าฯ มีงานที่ดี มีชีวิตสุขสบายดี แต่มันต้องมีอะไรมากกว่านี้สิ" ชายหนุ่มยังคงใช้มือกอบทรายขึ้นมาโปรยเล่น
"ข้าฯ เดินทางท่องเที่ยวไปทั่ว เพื่อจะค้นหาว่าชีวิตมันต้องการมีอะไรมากกว่านี้ที่จะทำให้ข้าฯ รู้สึก หรือท่านรู้ว่าอะไรคือความยินดีของชีวิต"
นัสรูดินไม่ตอบโต้สิ่งที่ชายหนุ่มคร่ำครวญ เขามองที่กระเป๋าสะพายหลังที่ชายหนุ่มถอดวางพิงที่ข้างตัว แล้วนัสรูดินก็หยิบกระเป๋าของชายหนุ่มขึ้นมา แล้วก็เอามาสะพายไว้ที่หลังตัวเอง
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังนึกว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง นัสรูดินก็ออกวิ่งไปพร้อมกับกระเป๋าที่สะพายอยู่ข้างหลัง
"ท่านจะเอากระเป๋าข้าฯ ไปไหน" ชายหนุ่มตะโกน
นัสรูดินไม่ฟัง ยังคงวิ่งต่อไป ชายหนุ่มรู้สึกประหลาดใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมาก และทันทีที่พอจะตั้งสติได้ เขาก็รีบออกวิ่งตามนัสรูดินไป
"เอากระเป๋าข้าฯ คืนมา" ชายหนุ่มวิ่งไปพลาง ตะโกนไปพลาง
ด้วยความที่เป็นคนรู้จักถนนหทางแถวนั้นเป็นอย่างดี นัสรูดินจึงวิ่งลดเลี้ยวเข้าซอกซอยอย่างชำนาญ ส่วนตัวชายหนุ่มก็ไม่ละความพยายามที่จะวิ่งให้ทันนัสรูดินให้ได้ แต่ดูเหมือนนัสรูดินจะแกล้ง เพราะทันทีที่ชายหน่มทำท่าจะวิ่งทัน นัสรูดินก็จะเร่งฝีเท้าเข้าตรอกหายไปอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อไรที่นัสรูดินทิ้งห่างชายหนุ่มมากเกินไป นัสรูดินก็จะชะลอฝีเท้าให้ชายหนุ่มเจ้าของกระเป๋าได้มองเห็นหลังไวๆ
หลังจากวิ่งวนไปวนมาอยู่พักใหญ่ นัสรูดินก็วิ่งมาถึงจุดเดิมที่ชายหนุ่มคนนั้นนั่งอยู่
แล้วจู่ นัสรูดินก็วางกระเป๋าสะพายหลังของชายหนุ่มลงที่เดิม แล้วก็ไปแอบซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ในบริเวณนั้น
เมื่อชายหนุ่มมาถึง และเห็นกระเป๋าตัวเองวางอยู่ สีหน้าของชายหนุ่มแสดงความยินดีอย่างออกนอกหน้าที่ได้พบกระเป๋าของตัวเองที่ดูเหมือนเพิ่งถูกวิ่งราวไปเมื่อกี้ เขาเอากระเป๋าขึ้นสะพายหลังและทำท่าเหมือนจะกระโดดด้วยความปรีดา
นัสรูดินซึ่งแอบมองอยู่เห็นดังนั้น ก็ค่อยๆ เดินเลี่ยงหลบออกไป
เรื่องเล่าของนัสรูดินก็จบลงเพียงนี้
อ่านจบแล้วทั้งสองเรื่อง ท่านผู้อ่านคิดว่าปราชญ์ทั้งสองท่านบอกอะไรเรา
ที่มา
http://predacoffee.multiply.com/journal/item/7ขอบคุณเวบที่มาทั้งสองที่ครับ
ทิ้งท้ายสำหรับวันนี้
"คนฉลาด" ในมุมมองของ "โสเครติส" นั้น ไม่ใช่คนที่รู้ทุกเรื่อง แต่ "คนฉลาด" คือคนที่รู้ว่าตัวเองไม่รู้ ส่วน "คนโง่" นั้น คือ คนที่ไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้ แต่ทำตัวราวกับเป็นผู้รู้
อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับคณิตศาสตร์มากนัก แต่คนคันมืออย่างผม เห็นเรื่องดีๆแล้วมันคันๆเหมือนเชื้อราในร่มผ้า ผมเลยเอามาฝากกันครับ
so long เน่อพี่น้อง~